คำคม..ข้อคิด

 

คำคม..ข้อคิด ๒๕
18 มี.ค. 2561

 

กระแสย้อนยุคมาแรงเหลือเกิน โดยเฉพาะจากเรื่องบุพเพสันนิวาส เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่เราหันมาเห็นความงดงามของศิลปวัฒนธรรมแบบไทยๆของเรา แทนกางเกงยีนส์ เสื้อยืด ขาสั้น ที่แสดงถึงความหยาบมากกว่าความละเอียดและปราณีต 
 
โลกที่สงบร่มเย็นค่อยเป็นค่อยไป รู้จักกันน้อยๆแค่เพื่อนบ้าน รั้วต่อรั้ว ญาติกันทั้งหมู่บ้าน ถูกทำลายด้วยโลกของออนไลน์ สายตาที่เข้าถึง ใจเขาใจเรา มองคนอื่น แล้วย้อนดูตัว เกรงอกเกรงใจ มีมิตรจิตมิตรใจหายไป
 
เราฉลาดขึ้น หรือเราเข้าใจว่าเราฉลาดขึ้น ดูทุกอย่าง อย่างรอบรู้และทันคน ถีบตัวเองให้เจริญก้าวหน้า
 
แต่เราไม่เคยย้อนกลับมาดูตัวเรา ความคิดของเรา ว่าดี น่าคบ ย้อนดูใจตัวเองว่า ยังสะอาด บริสุทธิแจ่มใส คงความเป็นผู้คิดดี ทำดี มีน้ำใจต่อผู้อื่น อยู่หรือเปล่า
 
เราเฝ้าดูคนอื่น จับผิด รู้ทัน แสนชาญฉลาด แต่เราน่าเกลียด หรือน่ารังเกียจหรือเปล่า เราไม่รู้เลย
 
เราอยากได้ความร่มเย็น ความจริงใจ เราก็จงเป็นคนเย็นที่ใจ เป็นที่พักพิงได้กับทุกคน จะจับผิด ก็จับผิดตัวเราก่อน
 
ไม่ใช่เข้าวัดทุกวันพระ แต่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เราเลย
 
จริงไหมคะ ถือว่า เป็นการบ่นเปรยของยายแก่คนหนึ่งนะคะ
 
 
ความสุขของชาวพุทธเรานั้น ลองพิจารณาที่พระบรมศาสดาของเราตรัสไว้
 
ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ มาเป็นอันดับหนึ่ง
เราต้องแสวงหาลาภนี้ก่อนด้วยการรักษาสุขภาพตนเองอย่างจริงจัง ระวังอาหารด้วยคำสอนของพระพุทธองค์ในด้านการบริโภค และพักผ่อนให้เพียงพอ
 
การไม่เป็นหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ เช่นกัน
เราก็ต้องจริงจังที่จะระวังตนไม่ให้เป็นหนี้ หรือจะเป็นหนี้อย่างมีสติภายใต้ขอบเขตจะชำระได้โดยไม่เดือดร้อน
ขยันหาทรัพย์ และใช้ทรัพย์ที่ตนหามาได้อย่างถูกทางและเหมาะสม
 
ทำตนให้เป็นที่รัก ด้วย สังคหวัตถุ 4 มีทาน ปิยวาจา ช่วยเหลือการงานไม่ดูดาย เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่หยิ่งหรือถือตัว
รักทุกคน ก็จะเป็นที่รักของทุกคน
 
ไม่ต้องคิดปฏิบัติไปไกลถึงไหน เอาเท่านี้ให้สมบูรณ์ จะพบว่า ความสุขอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง แต่ต้องทำจริง ปฏิบัติจริงทุกข้อที่กล่าวมานะคะ
 
 

ความโดดเดี่ยว ความเหงา ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนปราถนาแต่ก็เป็นสิ่งต้องอยู่กับเราอย่างแน่นอน งาน งานอดิเรก การจัดการทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราให้เป็นระบบ มีขั้นตอน เราก็จะไม่ทันรู้สึกถึง ความเหงา ความโดดเดี่ยว เพราะในหนึ่งวันควรมีช่วงที่ได้อยู่กับตัวเอง และใช้ความคิดทบทวน เพื่อก้าวหน้าต่อไปอย่างดีกว่าเดิมทุกวัน


เด็กๆอย่าพยายามเป็นคนเหงา ไม่มีอะไรจะทำ เพราะคำว่าไม่มีอะไรทำ คือ มีแต่ขี้เกียจและไม่ตรงใจ


เลือกสิ่งที่ตรงใจเพียงหนึ่งอย่าง แล้วที่เหลือก็ดีเอง ลองดูค่ะ

 

 

เมื่อเคราะห์มาเยือน เราอาจพลันมีเรื่องกับเพื่อน กับคนรัก เรื่องเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อนต่อเพื่อนมีปัญหากัน ที่ทำงานก็ประดังประเด นายใช้งานจนไม่มีเวลา บริวารทำเหตุ คนใช้ลาออก สารพัดจะมีเรื่อง
 
อย่าไปคิดว่าเราเพียงคนเดียวที่มีเรื่อง ภายใต้ท้องฟ้านี้ทุกคนมีเรื่องหมด เพราะอะไรรู้ไหมคะ อย่าโทษกรรม อย่าโทษดวงดาว แต่เพราะเรามีจุดอ่อนต่างหาก และเราละเลยจุดเสีย จุดอ่อน จุดด้อย หรือกล่าวให้หนัก ความไม่ดี ความเลวของเรา ปล่อยมันไว้เหมือนเนื้อร้าย ไม่เคยแก้ไข ยามใดที่มีจังหวะ มีโอกาส ยามร้ายๆ กรรม รวมทั้งดาวร้ายก็รุมเล่นงาน เสมือนร่างกายที่อ่อนแอไร้ภูมิต้านทาน
 
ลูกและศิษย์ที่กำลังเผชิญปัญหา จงทบทวน หากัลยาณมิตรคบบัณฑิต เพื่อบรรเทา ดังเช่นเล่าปี่หมดหนทางแล้วได้พบขงเบ้ง
 
 
เกิดมาไม่ว่า เด็ก ผู้ใหญ่ ต่างมีอะไรที่ต้องเผชิญเหมือนกัน เคยทุกข์ไหม มีความสุขล่ะ เคยได้รับคำชม เหมือนกันไหม และก็ถูกนินทาว่าลับหลัง บางครั้งก็มีลาภผล ได้รับเงิน และ บางเวลา ก็เครียดกับเรื่องเงิน งาน รายได้ เหมือนกัน เราเคยดีใจกับตำแหน่งงานที่ได้ ดีใจที่ได้เลื่อนขั้น และเคยเสียใจที่ไม่ได้รับเลือก ถูกลืม ถูกเปรียบเทียบ ไม่มีใครสนใจ เหมือนๆกัน แปดข้อนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยพบเคยเจอ ล้วนแล้วแต่ลิ้มรส ความรู้สึกเช่นนี้ และวนเวียนอยู่กับความรู้สึกเดิมๆเมื่อเกิดเรื่องทำนองเดียวกัน เพียงแต่ในเหตุการณ์ที่ต่างกัน และ ยังมี พบปะสิ่งที่ไม่ชอบใจ และที่พึงใจ เหมือนกันอีกด้วย
 
เราเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์และความรู้สึกที่เหมือนกัน เคยเผชิญความรู้สึกแบบเดียวกัน คือ โลกธรรม 8 ความจริงที่มีอยู่และเป็นอยู่ในโลกนี้
 
แล้วทำไม เราไม่เห็นใจกัน ไม่เข้าใจกัน เกลียดกัน ทำไมต้องมีโทสะ ทำไมต้องแย่งชิง ทำไมต้องทำร้ายกัน ทำไม ต้องแก่งแย่ง ริษยากัน ใจเขาใจเรา น่าจะเมตตา แบ่งปัน และให้อภัย มีรอยยิ้มให้ทุกคน
 
คืออารมณ์ของคนที่มีเมตตาแผ่ไปให้ทุกคนตลอดเวลาโดยไม่ต้องทำบุญแล้วค่อยสวดแผ่เมตตา โดยไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของใครเลย
 
 
เมื่อเราทำความสะอาดบ้าน เราก็สามารถสร้างสติและสมาธิได้ เมื่อเรากวาดไปมา ก็กำหนดไปพร้อมกับลมหายใจเข้าและออก 
 
เมื่อเราถูบ้าน จากซ้ายไปขวาก็พร้อมกับลมหายใจเข้าออก เมื่อเราเช็ดถู ก็กำหนดรู้ขึ้นและลงพร้อมกับลมหายใจเข้าออกเช่นกัน เมื่อเราเอื้อม ก็กำหนดลมหายใจเข้าลึกๆตามลมหายใจพร้อมเขย่งและแขม่วท้อง หายใจออกเมื่อถูลงมา
 
ทุกอิริยาบทกำหนดรู้ และไปพร้อมกับลมหายใจ บ้านก็สะอาด สมาธิก็ได้ แล้วก็ไม่รู้สึกเหนื่อย สมาธิที่ได้จากการทำอย่างนี้เรียกว่า แนวสติปัฎฏฐาน และเป็นสมาธิที่ไม่เสื่อมด้วยค่ะ พรุ่งนี้ทำงานบ้านด้วยวิธีนี้จะรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนเราได้ไปทำสมาธิที่วัดเลย ลองดูนะคะ